การทำสบู่ก้อนแบบใสและแบบขุ่น
เป็นสบู่ที่ใช้วิธีการผลิต โดยการทำปฏิกริยากันระหว่างน้ำมันกับสารละสายด่าง ซึ่งวิธีนี้จะทำให้เกิดกลีเซอรีนธรรมชาติอยู่ในตัวสบู่ และกลีเซอรีนนี้เองที่เป็นสารที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว และยังสามารถเติมสารธรรมชาติอื่น ๆ เพื่อเพิ่มคุณค่าในการบำรุงผิวเพิ่มมากขึ้นได้ตามต้องการ ลักษณะของเนื้อสบู่ที่ได้มักจะนิ่ม และละลายน้ำง่าย การปั๊มขึ้นรูปของสบู่จึงทำได้ยาก จึงมักจะมีรูปทรงธรรมดาเช่น สี่เหลี่ยมหรือวงกลม นอกจากนั้นคุณค่าของสบู่ที่มีต่อผิวยังขึ้นอยู่กับชนิดของน้ำมันที่เลือกใช้ ซึ่งน้ำมันแต่ละชนิดกันจะมีคุณประโยชน์ที่แตกต่างกัน
กลีเซอรีน (Glycerin) คืออะไร
สบู่กลีเซอรีน เป็นสบู่ที่มีกลีเซอรีนเป็นส่วนประกอบสำคัญ และไขมันจากพืช มีทั้งชนิดใสและขาวขุ่น มีคุณสมบัติ คือ กลีเซอรีนเป็นส่วนช่วยหล่อลื่นเหมือนมอยซ์เจอร์ไรเซอร์เพื่อปกป้องผิวไม่ให้แห้งและดูดซับความชื้นเมื่อสัมผัสกับอากาศซึ่งจะทำให้รู้สึกว่าผิวมีความชุ่มชื้น อ่อนโยนต่อผิว ไม่ทำให้อุดตันรูขุมขน เนื่องจากสบู่ชนิดนี้มีส่วนผสมของกลีเซอรีนค่อนข้างมาก จึงมีความนิ่มกว่าสบู่ในท้องตลาดทั่วไป ราคาค่อนข้างสูง แต่ถ้าเปรียบเทียบคุณสมบัติกับสบู่ทั่วไปก็นับว่าคุ้มค่ากับเงินที่เสียไป
นอกจากกลีเซอรีนที่ได้จากการผลิตสบู่ Handmade จะช่วยให้ผิวชุ่มชื้นแล้ว การเลือกใช้น้ำมันก็มีผลต่อคุณภาพของสบู่ต่อผิวด้วย
1. น้ำมันมะพร้าว สบู่ที่ผลิตได้มีเนื้อแข็ง กรอบ แตกง่าย สีขาวข้น มีฟองมากเป็นครีม ให้ฟองที่คงทนพอควร เมื่อใช้แล้วทำให้ผิวแห้ง
2. น้ำมันปาล์ม ให้สบู่ที่แข็งเล็กน้อย มีฟองน้อย ฟองคงทนอยู่นาน มีคุณสมบัติในการชะล้างได้ดี แต่ทำให้ผิวแห้ง
3. น้ำมันรำข้าว ให้วิตามินอีมาก ทำให้สบู่มีความชุ่มชื้น บำรุงผิว ช่วยลดความแห้งของผิว
4. น้ำมันถั่วเหลือง เป็นน้ำมันที่เข้าได้ดีกับน้ำมันอื่น มีวิตามินอีสูง ให้ความชุ่มชื้น ถนอมผิว รักษาผิว
5. น้ำมันงา เป็นน้ำมันที่ให้วิตามินอี และให้ความชุ่มชื้น รักษาผิว แต่มีกลิ่นเฉพาะตัว
6. น้ำมันมะกอก ทำให้ได้สบู่ที่แข็งพอสมควร ใช้ได้นาน มีฟองเป็นครีมนุ่มนวลมาก ให้ความชุ่มชื้น ไม่ทำให้ผิวแห้ง
7. น้ำมันละหุ่ง ช่วยทำให้สบู่มีฟองขนาดเล็กจำนวนมาก ทำให้สบู่เป็นเนื้อเดียวกันดี สบู่ไม่แตก ทำให้สบู่มีความนุ่มเนียน และช่วยให้ผิวนุ่ม
8. น้ำมันเมล็ดทานตะวัน ทำให้สบู่นุ่มขึ้น แต่ฟองน้อย
ลักษณะทั่วไป[แก้]
ผลมะนาวโดยทั่วไปมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4 – 4.5 เซนติเมตร ต้นมะนาวเป็นไม้พุ่มเตี้ย สูงเต็มที่ราว 5 เมตร ก้านมีหนามเล็กน้อย มักมีใบดก ใบยาวเรียวเล็กน้อย คล้ายใบส้ม ส่วนดอกสีขาวอมเหลือง ปกติจะมีดอกผลตลอดทั้งปี แต่ในช่วงหน้าแล้ง จะออกผลน้อย และมีน้ำน้อย
มะนาวเป็นพืชพื้นเมืองในภูมิภาค
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้คนในภูมิภาคนี้รู้จักและใช้ประโยชน์จากมะนาวมาช้านาน น้ำมะนาวนอกจากใช้ปรุงรสเปรี้ยวในอาหารหลายประเภทแล้ว ยังนำมาใช้เป็นเครื่องดื่ม ผสมเกลือ และน้ำตาล เป็นน้ำมะนาว ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีทั้งใน
ประเทศไทย และต่างประเทศทั่วโลก นอกจากนี้
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางชนิดยังนิยมฝานมะนาวเป็นชิ้นบางๆ เสียบไว้กับขอบแก้ว เพื่อใช้แต่งรส
ในผลมะนาวมี
น้ำมันหอมระเหยถึง 7% แต่กลิ่นไม่ฉุนอย่าง
มะกรูด น้ำมะนาวจึงมีประโยชน์สำหรับใช้เป็นส่วนผสมน้ำยาทำความสะอาด เครื่องหอม และการบำบัดด้วยกลิ่น (aromatherapy) หรือน้ำยาล้างจาน ส่วนคุณสมบัติที่สำคัญ ทว่าเพิ่งได้ทราบเมื่อไม่ช้านานมานี้ (ราวคริสต์ศตวรรษที่ 19) ก็คือ การป้องกันและรักษา
โรคลักปิดลักเปิด ซึ่งเคยเป็นปัญหาของนักเดินเรือมาช้านาน ภายหลังได้มีการค้นพบว่าสาเหตุที่มะนาวสามารถช่วยป้องกันโรคลักปิดลักเปิด เพราะในมะนาวมีไวตามินซีเป็นปริมาณมาก
มะนาวมีน้ำมันหอมระเหยที่ให้กลิ่นสดชื่น เพราะมีส่วนประกอบของสารซิโตรเนลลัล (Citronellal) ซิโครเนลลิล อะซีเตต (Citronellyl Acetate) ไลโมนีน (Limonene) ไลนาลูล (Linalool) เทอร์พีนีออล (Terpeneol) ฯลฯ รวมทั้งมีกรดซิตริค (Citric Acid) กรดมาลิก (Malic Acid) และกรดแอสคอร์บิก (Ascorbic Acid) ซึ่งถือเป็นกรดผลไม้ (AHA : Alpha Hydroxy Acids) กลุ่มหนึ่ง เป็นที่ยอมรับว่าช่วยให้ผิวหน้าที่เสื่อมสภาพหลุดลอกออกไป พร้อมๆ กับช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ๆ ช่วยให้รอยด่างดำหรือรอยแผลเป็นจางลง
ชื่อของมะนาว[แก้]
มะนาวก็เหมือนกับส้มทั้งหลาย ที่มีปัญหาในการจัดหมวดหมู่และแยกแยะทาง
อนุกรมวิธาน สำหรับ
ชื่อวิทยาศาสตร์ที่คุ้นเคยของมะนาว ก็คือ
Citrus aurantifolia Swingle หรือ "Citrus aurantifolia" ( Christm & Panz ) Swing." แต่ยังมีชื่ออื่นๆ อีก ดังนี้
- C. acida Roxb.
- C. lima Lunan
- C. medica var. ácida Brandis และ
- Limonia aurantifolia Christm
สำหรับชื่อสามัญนั้น ในหลายภาษาก็เรียกชื่อแตกต่างกันไป เช่น ในภาษาอังกฤษ เรียก Mexica lime, West Indian lime, และ Key lime หรือเรียก lime สั้นๆ ก็ได้ สาเหตุที่มีหลายชื่ออาจเป็นเพราะเป็นพืชต่างถิ่น จึงไม่มีชื่อดั้งเดิมในภาษานั้นๆ ทำให้เกิดการเสนอชื่ออื่นๆ มาหลายชื่อก็เป็นได้ ส่วนในประเทศไทยยังเรียกอีกหลายชื่อ oh ma darlimg pleses, ปะนอเกล, ปะโหน่งกลยาน, มะนอเกละ, มะเน้าด์เล, มะลิ่ว, ส้มมะนาว, ลีมานีปีห์, หมากฟ้า
อนึ่ง คำว่า
เลมอน (lemon) ในภาษาอังกฤษ หมายถึง ผลส้มอีกชนิดหนึ่ง ที่หัวท้ายมน ไม่ใช่ผลกลมอย่างมะนาวที่เรารู้จักกันดี สำหรับ
มะนาวเทศ (
Triphasia trifolia) นั้น เป็นพืชในวงศ์เดียวกัน (Rutaceae) กับมะนาว แต่ต่างสกุล ส่วน
มะนาวควาย หรือ ส้มซ่า (
Citrus medica Linn. Var. Linetta.) เป็นพืชสกุลส้มเช่นเดียวกัน แต่ต่างชนิด (สปีชีส์) กัน
ส้มนาวเป็นภาษาใต้ที่ใช้เรียกมะนาว เช่นเดียวกับทางภาคอีสานเรียกผลไม้บางอย่างว่า"บัก"ในการขึ้นต้น เช่นบักม่วงที่หมายถึงมะม่วง คำว่าส้มในภาษาใต้จะใช้เรียกผลไม้บางชนิดที่มีรสเปรี้ยว อย่าง ส้มนาว ส้มขาม เป็นต้น
พันธุ์ที่นิยมปลูกในประเทศไทย[แก้]
- มะนาวไข่ ผลกลม หัวท้ายยาว มีสีอ่อนคล้ายไข่เป็ด ขนาด 2-3 เซนติเมตร เปลือกบาง
- มะนาวแป้น ผลใหญ่ ค่อนข้างกลมแป้น เปลือกบาง มีน้ำมาก นิยมใช้บริโภคมากกว่าพันธุ์อื่นๆ ในเชิงพาณิชย์จะปลูก มะนาวพันธุ์แป้นรำไพและพันธุ์แป้นดกพิเศษ สามารถบังคับให้ออกฤดูแล้งได้ง่าย[1]
- มะนาวหนัง ผลอ่อนกลมยาวหัวท้ายแหลม เมื่อโตเต็มที่ผลจะมีลักษณะกลมค่อนข้างยาว มีเปลือกหนา ทำให้เก็บรักษาผลได้นาน
- มะนาวทราย ทรงพุ่มสวยใช้เป็นไม้ประดับ ให้ผลตลอดปีแต่ไม่ค่อยนิยมบริโภค เพราะน้ำมีรสขมเจือปน
มะนาวพันธุ์อื่น ๆ ได้แก่
มะนาวตาฮิติ, มะนาวหวาน, มะนาวปีนัง, มะนาวโมฬี, มะนาวพม่า, มะนาวเตี้ย และมะนาวหนัง เป็นต้น (มะนาวบางพันธุ์อาจเรียกได้หลายชื่อ แต่ในที่นี้ไม่ได้สืบค้นเพื่อจำแนกเอาไว้)
สรรพคุณทางยา[แก้]
มะนาวเป็นผลไม้ที่มีกรดอินทรีย์หลายชนิด เช่น กรดซิตริก กรดมาลิก วิตามินซี จากน้ำมะนาว ส่วนน้ำมันหอมระเหยจากผิวมะนาว มีวิตามินเอและซี ทั้งยังมีธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในน้ำมะนาวอีกด้วย
มะนาวมีประโยชน์ใช้เป็นยาสมุนไพร ขับเสมหะ แก้ไอ บรรเทาอาการปวดศีรษะ ช่วยแก้อาเจียน ช่วยรักษาสมดุลโรคความดันโลหิต ช่วยในการเจริญอาหาร แก้โรคตาแดง แก้ไข้ บำรุงเลือด รักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน บำรุงเหงือก ช่วยรักษาท้องอืด ท้องเฟ้อ แก้อาการท้องร่วง ช่วยการขับพยาธิไส้เดือน เป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยรักษาโรคกระเพาะ แก้อาการบิด ช่วยขับปัสสาวะ รักษาโรคนิ่ว ช่วยบำรุงโลหิต รักษาโรคผิวหนัง ใช้รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
อุปกรณ์ที่ใช้มีดังนี้
1.หม้อสแตนเลส
ใช้ในการตุ๋นเบสสบู่กลีเซอรีน
2.แม่พิมพ์ซิลิโคน
ใช้สำหรับการพิมพ์สบู่ให้เป็นรูปร่างตามแบบแม่พิมพ์ที่เราต้องการ
3.กระทะ
ใช้สำหรับให้ความร้อน เพื่อละลาย หรือตุ๋นเบสสบู่กลีเซอรีน
4.แผ่นฟิล์มถนอมอาหาร
ใช้สำหรับห่อหุ้มสบู่เมื่อแข็งตัวเป็นก้อนแล้ว
6.สลิงค์
ใช้ดูด,ตวง เพื่อวัดปริมาณส่วนผสมต่างๆ
7.กระบวย ทัพพี หรือ ช้อน
ใช้คนสารสบู่เบสกลีเซอรีนให้เข้ากั
8.แอลกอฮอล์ฉีดสบู่
ใช้ฉีดไล่ฟองสบู่
9.เขียงและมีด
ใช้สำหรับหั่น หรือ ตัดแต่งส่วนเกินของสบู่
วัตถุดิบและส่วนประกอบต่างๆ
1.เบสสบู่กลีเซอรีนแบบขุ่นและแบบใส 1 กิโลกรัม
2.สารสกัดทับทิม ช่วยให้ผิวเต่งตึง
ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระให้แก่ผิว 3.สารแต่งสี สีเขียวแอปเปิ้ล 4.สารแต่งสี สีส้ม
5.สารแต่งกลิ่น กลิ่นมะนาว 6.โพเมเกเนต
ขั้นตอนวิธีการทำ
1.หั่นชิ้นส่วนของกลีเซอรีนเป็นชิ้นเล็กๆ ให้มากเท่าปริมาณที่จะใส่ลงไปในแม่พิมพ์ที่ซื้อมาให้พอ
2.หั่นเป็นชิ้นเล็กนั้นเพื่อให้ละลายได้ง่ายขึ้นจากนั้นใส่กลีเซอรีนชิ้นเล็กๆ ลงไปในหม้อสองชั้น เติมน้ำลงไปในหม้อชั้นล่างแล้วอุ่นด้วยไฟกลางจนกว่ากลีเซอรีนจะละลายทั้งหมด
3.ค่อยๅคนให้กลีเซอรีนละลาย ไม่ควรคนแรงหรือบ่อยจนเกินไป เพราะจะทำให้กลีเซอรีนเกิดเป็นฟอง จะทำให้เมื่อนำไปเทใสแม่พิมพ์สบู่จะเกิดฟองเยอะจนเกิดนไป เมื่อกลีเซอรีนละลายจนหมด เทส่วนสารสกัดและสารแต่งสี แต่งกลิ่นลงไป ปริมาณ 5 เปอร์เซ็นของกลีเซอรีนครึ่งกิโลกรัม ถ้าต้มกลีเซอรีน 1 กิโลกรัม ให้ใส่ในปริมาณ 10 เปอร์เซ็น ส่วนสารแต่งสีและกลิ่นสามารถใส่ได้ตามต้องการ
4.คนสีและสารสกัดสารแต่งกลิ่นให้เข้ากันกับกลีเซอรีน จากนั้น ใช้แอลกอฮอลฉีดใส่แม่พิมพ์เพื่อให้หน้าสบู่ไม่เกิดฟองค่อยๆใช้กระบวยหรือทัพพีตักกลีเซอรีนเทลงแม่พิมพ์ ควรเทช้าๆและไม่แรงจนเกินไป เพราะจะทำให้กลีเซอรีนเกิดฟองในปริมาณมาก
5.ปล่อยให้สบู่แห้ง ประมาณ 20-30 นาที จากนั้นค่อยๆแกะสบู่ออกจากแม่พิมพ์ นำไปแรปซีนหรือใส่ถุงซีน เพื่อไม่ให้สารต่างๆในสบู่เกิดการระเหยและคงสภาพสบู่ไม่ให้สบู่นิ่มหรือแปลสภาพ
*จะละลายกลีเซอรีนทั้งก้อนใหญ่ๆ หรือตัดเป็นชิ้นเล็กๆ ให้เพียงพอกับปริมาณสบู่ที่จะทำก็ได้ สบู่ที่เสร็จแล้วก็จะออกมามีมวลและปริมาณเท่ากับก้อนกลีเซอรีนในตอนแรก แต่เปลี่ยนรูปร่างให้สวยขึ้นเท่านั้น
ปัญหาที่พบในการทำสบู่ก้อน
1.กลีเซอรีนแบบใส แห้งเร็วกว่าแบบขุ่น ขณะต้มต้องหมั่นคนเบาๆไปเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้ด้านบนของกลีเซอรีนแห้ง
2.สารสกัดเป็นสีเหลืองอ่อน เมื่อผสมกับกลีเซอรีนขุ่นสีขาวจะทำให้เปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อน ไม่ได้สีขาวของกลีเซอรีนตามที่ต้องการ
3.การใช้กระทะไฟฟ้า และหม้อวางซ้อนข้างบนทำให้ความร้อนไม่สามารถขึ้นมาถึงขอบด้านบน ทำให้กลีเซอรีนด้านบนแห้งและหนืดเร็ว
4.กลีเซอรีนแบบใส เมื่อใส่สารแต่งกลิ่นลงไปและพักไว้จนแข็งตัว กลิ่นจะหอมกว่าแบบขุ่นมาก
5 กลีเซอรีนเมื่อเอาออกมาจากภาชนะจะมีความแข็งตัวสูง เวลาเทใส่ภาชนะซีลีโคนอาจจะมีปัญหาตอนสุดท้ายการเทให้ตูดสบู่มันเรียบ
6 ขนาดของสบู่และน้ำหนัก
การพัฒนาบรรจุภัณฑ์
ปัญหา
ในเรื่องกระดาษ
การพับกระดาษ